บันทึกสำหรับ 10 มีนาคม 2563 (10 Mar 2020): Sell PTG, GL(40,000)
เมื่อวานนี้ทำการล้าง Port PTG, Sell GL ที่ราคาต่ำกว่าราคาซื้อ 10 บาท ขายที่ 3.28 บาท
เพื่อดึงเงินสดเข้าตลาด
สรุปรายการประจำวันเป็นดังนี้
- โอนเงินเข้าไปซื้อหุ้นราคา 100,000 บาท
-ขายหุ้น PTG 6,000 หุ้น ในราคา 15.30 ได้เงิน 91800 บาท ราคาทุน 126,000 ขาดทุน 34,200
- ขายหุ้น GL 40,000 หุ้น ในราคา 3.28 ได้เงิน 131,200 บาท ราคาทุน 10.00 ขาดทุน 268,800
รวมขาดทุน 303,000 บาท
เมื่อวานซื้อหุ้นดังนี้
- PTT ราคา 28.75 จำนวน 3,000 หุ้น
- PTTGC ราคา 30.50 จำนวน 3,000 หุ้น
-TOP ราคา 35.50 จำนวน 3,000 หุ้น
บันทึกจิตวิทยาประจำตัว
เนื่องจาก SET นั้นหล่นลงมาจาก 1390 (5 Mar) และเหลือ 1255 (9 Mar) เเต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ต่ำสุดที่เคยเป็นคือ ในหลายปีมานี้ตั้งเเต่วิกฤษ Subprime ปี 2008 นั้น ราคาหุ้นได้ขึ้นมาตลอด จึงทำให้การตกลงของ SET อาจจะยังไม่สิ้นสุดก็เป็นได้
ทำให้ส่งผลกระทบด้านจิตใจในการที่เข้าซื้อหุ้นเมื่อวาน เป็นดังนี้คือ
- กลัวว่าจะไม่ได้ราคาที่ต่ำที่สุดของตลาด ซึ่งจริงๆแล้วราคาที่ต่ำที่สุดของหุ้นที่จะเข้าซื้อเป็นวันที่หุ้นตกวันแรก 9 มีนาคม ซึ่งยังไม่มีเงินซื้อ
- มีความกังวลว่า Set จะตกไปมากกว่านี้ ส่งผลให้หุ้นที่จะเข้าซื้อตกตามไปด้วย
- เลยตัดสินใจตัดความกังวลทิ้ง พิจารณาราคาหุ้นรายตัวว่าถูกหรือแพง ดูปันผลที่เขาให้ ดูกราฟว่าจะตกไปมากกว่านี้ไหม จึงตัดสินใจซื้อ
ข้อมูลเเละความรู้เดิมที่ส่งผลให้นำไปสู่การตัดสินใจ
- หุ้นตกหนักแบบไร้สาเหตุที่เป็นความจริง คือประเทศไทยยังไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของอารมณ์คน ไม่เกี่ยวกับหุ้น
- ทุกๆครั้งที่หุ้นตกแบบนี้ คือ ตกหนักๆ ส่วนมากจะ rebound ขึ้นมา โดยเฉพาะหุ้นรายตัว จากนั้นเมื่อ Indicator ต่างๆ confirm ก็จะมีผู้เข้ามาเทรดเพิ่มขึ้น ราคาก็จะวิ่งต่อไป จนสร้าง Trend
- ส่วนมากคนจะกลัว วัดจากตัวเอง และจะมีคนออกมาพูดถึงราคาหุ้นที่ต่ำเว่อเกินความจริงที่จะเป็นไปได้ ส่วนมากคนทั่วๆ ไปจะทำอยู่สองอย่าง คือ ไม่กล้าและรอตามราคาที่เขาพูดๆ กัน ซึ่งราคาหุ้นจะไม่ต่ำลงไปได้มากกว่านั้นเเล้ว เพราะคนที่เขาขายทิ้งเพราะกลัวโดน Call Margin
- มีคนส่วนนึงที่ขายทิ้งแบบขาดทุน เขาต้องการเงินเขาคือใน Gap ช่วงที่ Graph เปิดทิ้งลงมา ตามหลักการเเล้วหุ้นจะต้องกลับไปปิด Gap เพื่อสมดุลหรืออะไรก็ตาม
เพื่อดึงเงินสดเข้าตลาด
สรุปรายการประจำวันเป็นดังนี้
- โอนเงินเข้าไปซื้อหุ้นราคา 100,000 บาท
-ขายหุ้น PTG 6,000 หุ้น ในราคา 15.30 ได้เงิน 91800 บาท ราคาทุน 126,000 ขาดทุน 34,200
- ขายหุ้น GL 40,000 หุ้น ในราคา 3.28 ได้เงิน 131,200 บาท ราคาทุน 10.00 ขาดทุน 268,800
รวมขาดทุน 303,000 บาท
เมื่อวานซื้อหุ้นดังนี้
- PTT ราคา 28.75 จำนวน 3,000 หุ้น
- PTTGC ราคา 30.50 จำนวน 3,000 หุ้น
-TOP ราคา 35.50 จำนวน 3,000 หุ้น
บันทึกจิตวิทยาประจำตัว
เนื่องจาก SET นั้นหล่นลงมาจาก 1390 (5 Mar) และเหลือ 1255 (9 Mar) เเต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ต่ำสุดที่เคยเป็นคือ ในหลายปีมานี้ตั้งเเต่วิกฤษ Subprime ปี 2008 นั้น ราคาหุ้นได้ขึ้นมาตลอด จึงทำให้การตกลงของ SET อาจจะยังไม่สิ้นสุดก็เป็นได้
ทำให้ส่งผลกระทบด้านจิตใจในการที่เข้าซื้อหุ้นเมื่อวาน เป็นดังนี้คือ
- กลัวว่าจะไม่ได้ราคาที่ต่ำที่สุดของตลาด ซึ่งจริงๆแล้วราคาที่ต่ำที่สุดของหุ้นที่จะเข้าซื้อเป็นวันที่หุ้นตกวันแรก 9 มีนาคม ซึ่งยังไม่มีเงินซื้อ
- มีความกังวลว่า Set จะตกไปมากกว่านี้ ส่งผลให้หุ้นที่จะเข้าซื้อตกตามไปด้วย
- เลยตัดสินใจตัดความกังวลทิ้ง พิจารณาราคาหุ้นรายตัวว่าถูกหรือแพง ดูปันผลที่เขาให้ ดูกราฟว่าจะตกไปมากกว่านี้ไหม จึงตัดสินใจซื้อ
ข้อมูลเเละความรู้เดิมที่ส่งผลให้นำไปสู่การตัดสินใจ
- หุ้นตกหนักแบบไร้สาเหตุที่เป็นความจริง คือประเทศไทยยังไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของอารมณ์คน ไม่เกี่ยวกับหุ้น
- ทุกๆครั้งที่หุ้นตกแบบนี้ คือ ตกหนักๆ ส่วนมากจะ rebound ขึ้นมา โดยเฉพาะหุ้นรายตัว จากนั้นเมื่อ Indicator ต่างๆ confirm ก็จะมีผู้เข้ามาเทรดเพิ่มขึ้น ราคาก็จะวิ่งต่อไป จนสร้าง Trend
- ส่วนมากคนจะกลัว วัดจากตัวเอง และจะมีคนออกมาพูดถึงราคาหุ้นที่ต่ำเว่อเกินความจริงที่จะเป็นไปได้ ส่วนมากคนทั่วๆ ไปจะทำอยู่สองอย่าง คือ ไม่กล้าและรอตามราคาที่เขาพูดๆ กัน ซึ่งราคาหุ้นจะไม่ต่ำลงไปได้มากกว่านั้นเเล้ว เพราะคนที่เขาขายทิ้งเพราะกลัวโดน Call Margin
- มีคนส่วนนึงที่ขายทิ้งแบบขาดทุน เขาต้องการเงินเขาคือใน Gap ช่วงที่ Graph เปิดทิ้งลงมา ตามหลักการเเล้วหุ้นจะต้องกลับไปปิด Gap เพื่อสมดุลหรืออะไรก็ตาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น